วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เทคนิคแปล3

6 การแปล Tense
ลักษณะ Tense ในภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปกริยาเพื่อแสดงกาล กริยานั้นอาจจะเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น go went gone หรือเติมปัจจัยเข้าไปหลังกริยา เช่น walk walked walked ในประโยคอาจมีหรือไม่มีคำบอกกาลเวลากำกับอยู่ หน้าที่ของกริยาที่เปลี่ยนไปที่เราเรียกว่า tense ต่าง ๆ นี้ คือ เพื่อบอกความหมายของกาลเวลาต่าง ๆ กัน
ตัวอย่างประโยค 3 ประโยคต่อไปนี้ มีความหมายไม่เท่ากันในแง่ของกาลเวลา
1. My friend lives in Bangkok.
2. My friend lived in Bangkok.
3. My friend has lived in Bangkok.
ประโยค 1-3 อาจแปลได้ความเท่ากัน คือ เพื่อนของฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯแต่ความหมายของประโยคที่เกี่ยวกับเวลาไม่เท่ากัน
ประโยคที่ 1 ใช้ simple present tense หมายความชัดเจนว่า
เพื่อนของฉันอยู่ในกรุงเทพฯ (กำลังอยู่ในขณะนั้น)
ประโยคที่ 2 ใช้ past tense แสดงว่า
เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
ประโยคที่ 3 ใช้ present perfect tense อาจหมายความว่า
เขาเคยอยู่ที่นั่นในอดีต ตอนนี้อาจจะยังอยู่หรืออาจไม่อยู่แล้ว


คำบอกกาลในภาษาไทย
ภาษาที่มีวิภัตติ ปัจจัย อย่างภาษาบาลี สันสกฤตและอังกฤษ กาล มาลา วาจก เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ แต่ในภาษาไทย กาล มาลา วาจก ไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไรนัก เพราะภาษาไทยเวลานำมาพูดหรือเขียน ไม่จำเป็นต้องระบุเวลาว่าเมื่อไร ผู้ฟังและผู้อ่านต้องทำความเข้าใจเอาเอง ภาษาไทยไม่มีการแจกวิภัตติ ปัจจัยเพื่อบอกกาลเวลา คำแต่ละคำใช้ได้ในทุกโอกาส เมื่อต้องการจะบอกกาลเวลาก็มีวิธีการที่จะบอกได้ดังนี้
เมื่อต้องการทราบว่า กริยากระทำเมื่อไรต้องอาศัยกริยาช่วย เช่น จะ อยู่ กำลัง ได้ แล้ว ในภาษาไทยจะบ่งชัดลงไปว่า กริยาแท้ หรือ กริยาช่วย ต้องดูตำแหน่งในประโยคเป็นส่วนประกอบด้วย คำเหล่านี้บอกกาลเวลาต่างกัน คือ
บอกปัจจุบัน เช่น อยู่ กำลัง กำลัง....อยู่ กำลัง....อยู่แล้ว
ดูโทรทัศน์อยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักหลับนอน
(เป็นการบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่ยุติลง แสดงว่า ยังดูโทรทัศน์โดยไม่ยอมเข้านอน)

เขากำลังวิ่ง
(คำว่า กำลังเป็นคำบอกเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน แสดงว่าเขากำลังวิ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ได้หยุดวิ่ง)

สมศักดิ์กำลังนอนหลับอยู่
(แสดงว่า ตลอดเวลาสมศักดิ์นอนหลับอยู่ยังไม่ตื่นขึ้นมา เป็นการบอกเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่โดยเน้นความ)

สมศรีกำลังทำการบ้านอยู่แล้ว
(ประโยคนี้เน้นความยิ่งกว่า สมศักดิ์กำลังนอนหลับอยู่เพราะในข้อความนี้ได้เน้นให้เห็นว่า สมศรีได้ลงมือทำการบ้านแล้ว แต่ยังทำการบ้านไม่เสร็จ ซึ่งเป็นการบอกเหตุการณ์ให้รู้ว่าการกระทำได้เริ่มเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ)
บอกอดีต ได้แก่ ได้ ได้....แล้ว เช่น
สมศรีได้รับจดหมาย
(บอกให้รู้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา สมศรีได้รับจดหมาย)
สมศรีได้พบคุณพ่อแล้ว
(บอกให้รู้ว่าการพบคุณพ่อของสมศรีได้ผ่านพ้นไปและเสร็จสิ้นลง เรียบร้อยแล้ว)

บอกอนาคต ได้แก่ จะ กำลังจะ....อยู่ กำลัง....อยู่แล้ว เช่น
ใครจะไปใครจะมา
(บอกเวลาล่วงหน้า เหตุยังไม่เกิด)
หล่อนกำลังจะเปิดวิทยุฟังเพลง
สมศรีกำลังจะกินอาหารอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
คุณแม่กับคุณพ่อกำลังจะไปตลาดอยู่แล้ว

ความแตกต่างและความคล้ายคลึงของ tense ในภาษาอังกฤษและภาษาไทยในแง่รูปคำและหน้าที่


Tense ในภาษาอังกฤษ
Tense ในภาษาไทย
รูปคำ
- เปลี่ยนรูปคำกริยา เช่น go went gone
- ไม่เปลี่ยนรูปกริยา
- เติมปัจจัย ed เช่น walk walked walked
- มีการเติมกริยาช่วย เช่น กำลัง กำลังจะ แล้ว
- มีหรือไม่มีคำบอกกาล/เวลา กำกับ
- มีหรือไม่มีคำบอกกาล/เวลา กำกับ
หน้าที่
- บอกความหมายของกาลเวลาต่าง ๆ กัน ตาม tense ที่ต่างกัน
- ไม่ให้ความสำคัญกับกาล/เวลาที่ต่างกัน
- รู้กาลเวลาโดยเดาจากปริบท หรือจากคำกำกับเวลา (ถ้ามี)



วิธีแปล
ผู้แปลควรอ่านประโยคภาษาอังกฤษเพื่อทำความเข้าใจความหมายของ tense ในแง่ของกาล/เวลา ดูว่าประโยคนั้นใช้ tense อะไร แล้วจึงแปลถ่ายทอดเป็นภาษาไทยให้ตรงกับลักษณะกาล/เวลา ที่นิยมใช้ในภาษาไทย โดยอาจจะเติมคำเสริมกริยาต่าง ๆ หรือคำบอกเวลาที่เหมาะสมในภาษาไทย เช่น มาตลอด ก่อน แล้ว จะ เพิ่ง เคย เป็นต้น ถ้าในประโยคภาษาอังกฤษนั้นมีกริยาหลายตัวที่อยู่ใน tense เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใส่คำเสริมกริยาไปทุกที่ เพราะจะเป็นการซ้ำซ้อนซึ่งภาษาไทยไม่นิยม ดังตัวอย่างเช่น
เขากำลังจะโทรศัพท์ถึงเพื่อนของเขาและเพื่อนของเขากำลังจะมา
เขาทั้งสองกำลังจะไปทานข้าวนอกบ้านกัน
(ภาษาไทยไม่นิยม)

เช่นเดียวกันเมื่อแปลประโยคหรือข้อความที่เป็นเรื่องเล่า ซึ่งใช้คำกริยาเป็นอดีตกาล
เวลาแปลภาษาไทยไม่นิยมใส่คำบอกกาล ได้ + กริยา อย่างพร่ำเพรื่อ ตัวอย่างเช่น
เขาได้ไปโรงเรียน เขาได้มาถึงโรงเรียนทันเวลา และเขาได้ทำความเคารพครูที่ยืนอยู่หน้าโรงเรียน
(ภาษาไทยไม่นิยม)

ตัวอย่างการแปลประโยคภาษาอังกฤษที่มี tense ต่าง ๆ เป็นภาษาไทย

1. Have you finished your term paper?
ทำรายงานเสร็จแล้วหรือยัง
อธิบาย: แล้ว-ยัง คำบอกเวลาจากอดีตมาจนปัจจุบัน (present perfect tense)
No, but I’ll finish it this evening.
ยังหรอก แต่จะทำให้เสร็จตอนเย็นนี้
อธิบาย: จะ....ตอนเย็นนี้ บอกกาลอนาคตแบบของไทย

2. Did you see a lot of friends at the party?
คุณพบเพื่อนหลายคนไหมที่งานเลี้ยง
อธิบาย: อดีต แต่ไม่จำเป็นต้องใส่คำเสริมบอกอดีต เช่น ได้ข้างหน้าคำกริยา
No, I didn’t. When I arrived there, some of them had already left.
ไม่ค่อยพบหรอก พอไปถึงที่งานปรากฏว่าเพื่อนหลายคนกลับไปก่อนแล้ว
อธิบาย: already = ก่อนแล้ว และกริยาในประโยคก็แปลอย่างปกติ

3. Did you enjoy the party last night?
เมื่อคืนงานเลี้ยงสนุกไหม
อธิบาย: แปลคำบอกกาลก็เพียงพอแล้ว last night = เมื่อคืน
Yes, I did. It wasn’t like any other party that I have ever been to.
สนุกซิ ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงก่อน ๆ ที่เคยไปเลย
อธิบาย: แปล present perfect จากอดีตจนถึงปัจจุบันโดยใช้คำบอกกาล เคย....เลย

4. When I arrived at the office, the meeting was just beginning
เมื่อฉันไปถึงที่ทำงาน การประชุมกำลังเพิ่งเริ่มพอดี
อธิบาย: เราไม่แปล past tense ของกริยาว่าได้ + v แปลว่า ไปถึง เท่านั้น just
แปลว่า เพิ่ง ใช้คำนี้กับเหตุการณ์ในอดีตก็ได้
continuous tense ในประโยคนี้ แปลตรงกับภาษาไทยว่า กำลัง + v

5. Talking to her wasn’t easy although I had known her for a long time.
(การ) คุยกับเธอนั้นไม่ใช่ของง่าย ทั้ง ๆ ที่ฉันเคยรู้จักเธอมาก่อนแล้ว
อธิบาย: เหตุการณ์ในอดีต ไม่นิยมแปลว่า ได้ + v การแปลเพื่อแสดง past perfect
tense ใช้คำเสริมกริยา เคย...ก่อนแล้ว

6. By the time you read this letter, I will have already left home.
กว่าเธอจะได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันก็คงออกจากบ้านไปแล้ว
อธิบาย: เหตุการณ์ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต สังเกตคำแปล กว่า...จะ คง...แล้ว แล้ว
ใน
ที่นี้แปลว่า ทำอาการนั้นแล้ว ไม่ได้แปลว่า อดีตหรือเวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว

7. She explained that the problem of water was solved when she moved to this area ten years ago.
เธอชี้แจงว่าปัญหาเรื่องน้ำแก้ไขไปก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่แถบนี้เมื่อ 10 ปีก่อน
อธิบาย: v. + ed ไม่จำเป็นต้องแปลว่า ได้ + v. เสมอไป ในบางจุดอาจเติม จะเพื่อให้เห็นช่วงเวลาก่อนหลังที่ห่างกัน 2 ช่วง แก้ไขไปก่อน...จะ คำว่า ก่อนที่อยู่ท้ายประโยค แปลจาก ago

8. When I finally knew what was happening, I saw many police inside my house.
ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เห็นตำรวจอยู่เต็มบ้าน
อธิบาย: เพื่อให้เห็นความแตกต่างของเวลา 2 ช่วง ที่ใช้ past tense กับ past
continuous แปลเป็นภาษาไทย โดยใช้คำเสริมกริยา ก่อนจะ

9. She has been standing there, waiting for her son, for more than two hours.
เธอยืนอยู่ที่นั่นมาตลอด คอยลูกชายอยู่เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้ว
อธิบาย: present perfect continuous tense แสดงโดยใช้คำเสริมบอกการทอดระยะของ
ช่วงเวลา ....มาตลอด....แล้ว

10. I’ll be seeing him tomorrow at the office.
ผมนัดกับเขาไว้ว่าจะเจอกันพรุ่งนี้ที่ที่ทำงาน
อธิบาย: ประโยคที่ใช้ future continuous tense แสดงว่า มีการตกลงกันไว้แล้ว จะแปลต่างจากประโยคที่ว่า “I’ll see him” ผมจะไปพบเขา ซึ่งใช้ future tense ธรรมดา ที่แสดงถึงอนาคตกาลเท่านั้นเอง

แบบฝึกหัด
I. จงแปลประโยคต่อไปนี้และสังเกตความต่างกันในการเลือกแปล tense

1. My father doesn’t smoke.

2. Sunee usually sits at the back of the class, but today she’s sitting in the front row.

3. I’m feeling tired.

4. You’re forgetting your manners, Sompong.

5. He has been working hard for the last two years.

6. You have drunk three cups of tea since I’ve been sitting here.

7. I think it’s going to rain.

8. As he had nothing to do, he went for a walk.

9. After Dang had taken the medicine, he felt better.

10. By the time the bus arrived, a lot of tourists had gone away to seek shelter for the night.


II. จงแปลประโยคต่อไปนี้และสังเกตความต่างกันในการเลือกแปล tense

1. By the time I get to Phoenix, she’ll be sleeping.

2. Since I’ve been sitting in this room, they have quarrelled with each other for half an hour.

3. My brother usually gets up late, but today he has already gone out.

4. When I last saw the evening paper, it was lying on the sofa.

5. By a week from today, I should have finished all my assignments.

6. The manager will be seeing you tomorrow at his office.

7. When I arrived at the office, my secretary was just beginning to type the report.

8. Please be here by three o’clock in the afternoon.

9. Lately, more and more people are becoming aware of the danger of toxic chemicals.

10. Now that Somsak has met Siree, he seldom thinks of his late wife.

การแปลคำเชื่อมและสรรพนามต่าง ๆ



ปัญหาหนึ่งที่ผู้แปลประสบเมื่ออ่านข้อความที่ติดต่อกันหลายประโยค คือ เกิดความสับสน ไม่ทราบว่าเรื่องราวและใจความเชื่อมโยงกันอย่างไร ส่วนใดเป็นประธาน ส่วนใดเป็นกริยาหลัก และส่วนใดเป็นส่วนขยาย โดยปกติแล้วประโยคที่ยาวและซับซ้อนจะมีคำเชื่อม (connectives) หรือคำโยงความ (discourse markers) ต่าง ๆ เช่น because, though, however เป็นต้น ทำหน้าที่เชื่อมโยงความแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน คำเชื่อมเหล่านี้นอกจากจะทำหน้าที่เชื่อมข้อความตามโครงสร้างแล้วแต่ละคำยังมีความหมายเฉพาะอีกด้วย ซึ่งในการแปลถ้าผู้แปลสามารถจับความหมายของคำเชื่อมเหล่านี้ได้จะทำให้แปลข้อความออกมาได้ถูกต้องชัดเจน คำเชื่อมต่าง ๆแบ่งตามประเภทและหน้าที่ดังต่อไปนี้
Function
Connectives/Discourse Markers
เพื่อยกตัวอย่าง (example)กล่าวซ้ำใจความสำคัญ (restatement)ให้คำอธิบาย (explanation) บอกเหตุ (cause)บอกเหตุบอกผล (cause & effect)เปรียบเทียบในเชิงคล้ายคลึงกัน(comparison) เปรียบเทียบในลักษณะที่แตกต่าง(contrast )บอกวัตถุประสงค์(purpose)บอกความขัดแย้งกัน(concession)บอกเงื่อนไข,ข้อแม้(condition)บอกเวลา(time)บอกความเพิ่มเติม (addition)
for example, take the example of,for instance, another instance of,such as, an example of, as forin other words, that is to sayin fact, as a matter of fact, accordingbecause, since, asfor this reason, because of this,consequently, as a resultsimilarly, likewise, in the same waybut, whereas, however, in contrast, conversely, on the other hand that, so that, in order that, in order toalthough, though, even though,the former......the latter even if, nevertheless, yetif, unless, provided that, oncondition thatwhen, while, since, asmoreover, furthermore, and
วิธีแปล
อ่านข้อความหรือประโยคเพื่อให้เข้าใจความหมายต่าง ๆ ก่อนจะลงมือแปลให้แบ่งข้อความนั้นเป็นตอน ๆ หรือแบ่งประโยคเป็นช่วงสั้น ๆ และวิเคราะห์โครงสร้างของข้อความหรือประโยคว่าส่วนใดเป็นประธาน ส่วนใดเป็นกริยาหลัก กรรมและส่วนขยาย
ตัวอย่าง
As a schoolboy / he chose to take the bus to school / instead of being driven there in the family’s limousine. /Later, he won a King’s Scholarship / to study engineering in the United States, / but halfway through that, / he decided to give it up / and returned to Thailand / to study medicine instead. /

จะสังเกตว่า ข้อความนี้มีคำเชื่อมอยู่ 5 คำด้วยกัน คือ as ที่ทำหน้าที่บอกเวลา but, instead และ instead of ทำหน้าที่บอกความแย้ง และ and ทำหน้าที่บอกความเพิ่มเติม ส่วนเครื่องหมาย / แบ่งช่วงข้อความที่จะแปล

คำแปล
เมื่อเป็นเด็กนักเรียน เขาเลือกที่จะนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนแทนที่จะนั่งรถที่บ้านไป ต่อมาเขาได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ยังประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเรียนไปได้ครึ่งทาง เขาตัดสินใจยกเลิก และกลับมาเมืองไทยเพื่อเรียนแพทย์แทน



ตัวอย่าง
If you want to change the world, change the man in the mirror.
ถ้าเธอต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกละก็ จงเปลี่ยนคนที่คุณเห็นในกระจก

I hear you are enjoying your new job; on the contrary, I think it’s dull.
ฉันได้ยินว่าคุณสนุกกับงานใหม่ของคุณ ตรงกันข้ามทีเดียวฉันคิดว่าน่าเบื่อ

You can add the fluid to the powder or; conversely, the powder to the fluid.
คุณสามารถเติมของเหลวไปในแป้งหรือกลับกันเติมแป้งไปในของเหลวก็ได้



แบบฝึกหัด
I. จงแปลประโยคที่มีคำเชื่อมต่อไปนี้ให้เหมาะสมกับเนื้อความในปริบท

1. The rector was quite upset with the students’ conduct. Many faculty members were similarly annoyed.
2. She preferred touring the city whereas he preferred going out to the country.
3.Though I have full confidence in John, I hesitate to put him in charge.
4. We’ll have enough drinks provided that no unexpected friends drop in.
5. The student studied very hard, yet he failed the course.
6. Since Jane can’t answer the question, perhaps we’d better ask someone else.
7. The life of Mahatma Gandhi is an example of what a man of character can do.
8. According to Dr. Smith, the cause of Tom’s death was drowning.
9. He was so lovesick that he was not able to eat or sleep.
10.I will accompany you unless the situation changes.

II. จงแปลอนุเฉทต่อไปนี้ และแปลคำเชื่อมโยงความให้เหมาะสม

1. Buddhists have various ways of showing their faith in the Lord Buddha. For this reason, many people gather in order to present flowers to the monks at Wat Phra Buddhabat on Buddhist Lent.

2. Since boats were an important means of transportation in Thailand in the old days, each locality invented different kinds of boat, such as the Sampan, the ‘Khem,’ the Rowing boat, etc. Nowadays, boats are rarely seen because of a change in transportation from water travel to road travel.

การแปลคำสรรพนาม
สรรพนามเหล่านี้ คือ สรรพนามที่ไม่เจาะจง หรือ Indefinite pronouns เช่น one, some, someone, somebody, everyone, everybody, other, others, another เป็นต้น ผู้แปลจะพบว่าสรรพนามเหล่านี้มักจะก่อปัญหาเสมอในการแปล เพราะว่าสรรพนามเหล่านี้ ไม่มีความหมายตายตัวให้จดจำได้ ความหมายของคำสรรพนามเหล่านี้ขึ้นอยู่กับปริบท
นอกจากนี้คำจำพวก Relative pronouns เช่น who, what, where, which ก็เช่นกัน ผู้แปลควรระวังว่า คำเหล่านี้ไม่ใช่คำถาม (question words) และไม่ควรแปลออกมาในลักษณะคำถามเสมอไป
วิธีแปล
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สรรพนามที่ไม่เจาะจงและคำสรรพนามจำพวก Relative pronouns ไม่มีความหมายตายตัว แต่ความหมายจะขึ้นอยู่กับปริบท ดังนั้น เมื่อจะแปลจึงต้องพิจารณาปริบทและแปลคำสรรพนามเหล่านี้ไปตามปริบทโดยปรับเปลี่ยนความหมายไปตามข้อความใกล้เคียง

ตัวอย่างการแปลสรรพนามไม่เจาะจง (Indefinite pronouns)

1. Treat others as you treat yourself.
จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนกับที่คุณปฏิบัติต่อตนเอง
2. Sometimes when life is troublesome, you need comfort from one who loves you.
บางครั้งเมื่อชีวิตลำบากเดือดร้อน คุณต้องการการปลอบโยนจากใครสักคนที่รักคุณ
3. Whoever comes first is the one who will receive the prize.
ใครก็ตามที่มาถึงเป็นคนแรกจะเป็นผู้ที่ได้รับรางวัล
4. One has my hand, the other has my heart.
คนหนึ่งเป็นพันธะอีกคนหนึ่งเป็นดวงใจ

จะสังเกตว่า คำสรรพนาม one, others และ the other ในประโยคตัวอย่างนี้จะแปลแตกต่างกันออกไปตามปริบท

ตัวอย่างการแปล Relative pronouns

1. What I appreciate most in your country is the easy-going character of the people.
สิ่งที่ผมชื่นชมมากที่สุดในบ้านเมืองของคุณ คือ บุคลิกง่าย ๆ ตามสบายของผู้คน
2. What you have written is not suitable for publication.
สิ่งที่คุณเขียนไม่เหมาะที่จะตีพิมพ์
3. A person who is selfish will have no friend.
คนที่เห็นแก่ตัวจะไม่มีเพื่อน

จะสังเกตว่าคำสรรพนามเหล่านี้แม้จะมีรูปเหมือนคำถาม what (อะไร) who (ใคร) แต่เวลาแปลก็ไม่ได้แปลออกมาแบบคำถาม


แบบฝึกหัด
I.จงแปลประโยคที่มี Indefinite pronouns และ Relative pronouns ต่อไปนี้ให้เป็นประโยคภาษาไทยที่เหมาะสม

1. May I have some more paper?
Take some of mine.
2. One of these days, you will know.
3. There’s somebody at the door.
4. You’re absolutely sure nothing was missing?
5. I didn’t hear what he said because there was too much noise where I was sitting.
6. The principal and the parents probably do not blame anyone for the accident.
7. If one does not work hard, one cannot expect to succeed.
8. Since nobody is perfect, nobody should speak ill of anybody.
9. What I can’t stand is a young girl acting older than her age.
10. Thanee has been looking for someone to love, but he has not found anyone.

II. จงแปลประโยคที่มี Indefinite pronouns และ Relative pronouns ต่อไปนี้ให้เป็นประโยคภาษาไทยที่เหมาะสม

1. Another popular hobby, especially among the elderly, is to keep pets.
2. Suda did not know what to say to those children.
3. A person who feels happy will look happy too.
4. Naturally, one wanted only the best for one’s children.
5. Everything looks impossible to people who never try anything.
6. As far as I know, nothing serious ever happens.
7. Peace is not God’s gift to his creatures. It is our gift to each other.
8. In his books, Stephen Hawking tells us why we are what we are.
9. The world would be a better place if everybody wanted to make peace.
10. In the old days, promotions were given to people who always agreed with their bosses


บทที่ 7 การแปลคำเชื่อมและสรรพนามต่าง ๆ



การแปลประโยคที่ขึ้นต้นด้วยสรรพนาม “it”
ในภาษาไทยเรามักจะแปล “it” ว่า มันในกรณีที่เราหมายถึงสัตว์หรือเด็กเล็ก ๆ เช่น
My cat is in the mat. It has blue eyes.
แมวฉันนั่งอยู่บนเสื่อ มันมีนัยน์ตาสีฟ้า

แต่เราจะไม่นิยมแปล “it” ว่า มันพร่ำเพรื่อเพราะจะฟังดูไม่เป็นภาษาไทย การละสรรพนามไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นลักษณะหนึ่งของภาษาไทย ดังตัวอย่างเช่น
My car is an old car. It runs very slowly.
รถของฉันเก่า วิ่งช้า (แปลโดยละสรรพนาม)
คำสรรพนาม “it” ที่ก่อให้เปิดปัญหาในการแปลนี้ เป็น Impersonal pronoun ที่ ไม่ได้แทนคนหรือสัตว์ ขอให้สังเกตการแปลประโยคที่ขึ้นต้นด้วย Impersonal pronoun “it” ดังต่อไปนี้
It was afternoon…
ในตอนบ่าย
It was evening…
ค่ำแล้ว
Oh! It’s beautiful.
แหม! สวยจังเลย

การแปลคำเชื่อมและสรรพนามต่าง ๆ


วิธีแปล
ผู้แปลจะเห็นได้ว่าประโยคที่มีใจความเกี่ยวกับเวลาก็ดี แสดงอารมณ์ความ รู้สึกก็ดี หรือบอกราคาก็ดี มักจะขึ้นต้นประโยคด้วยประธานที่ไร้ความหมาย (dummy subject) “it”
ในประโยคลักษณะนี้เราไม่นิยมแปลสรรพนาม “it” ว่า มันหลักในการแปลประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “it” คือ ไม่ต้องแปล “it” ให้แปลประโยคไปเลย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
It’s just that I don’t want to lose you this way.
เพียงแต่ว่าฉันไม่อยากจะสูญเสียเธอไปแบบนี้
It’s impossible to get there, it’s just that it’s rather late to start now.
จะไปที่นั่นก็ย่อมได้ เพียงแต่ว่าค่อนข้างดึกไปหน่อยที่จะออกเดินทางตอนนี้
It was simply you that I was dreaming of.
มีเพียงคุณเท่านั้นที่ฉันฝันหา
It is very expensive; it costs almost 700 baht per kilo.
แพงมาก กิโลละเกือบ 700 บาท


แบบฝึกหัด
I. จงแปลประโยคซึ่งมีสรรพนามให้ได้ใจความ
1. It was a long hot summer.
2. It’s fourteen years since I saw him.
3. It costs me only 20 baht.
4. It is easier to talk about a problem than it is to solve it.
5. How long is it since you had a raise in salary?
6. It is unlikely that the results of the elections will be made public before tomorrow morning.
7. It would have been a perfect paper except for one misspelled word.
8. It has been raining every day. The rivers have overflowed their banks.
9. It is a well-known fact that deforestation will cause soil erosion and flooding.
10. It is extremely important for an engineer to know how to use a computer.

II. จงแปลประโยคซึ่งมีสรรพนามให้ได้ใจความ
1. It may be concluded that at least sixteen schools have adopted these plans.
2. It is very cold in the hills of northern Thailand.
3. Take it easy and everything will be all right.
4. It’s hot today. What’s the temperature?
5. It was said that he was jealous of her.
6. It was annoying not being able to remember his address.
7. It is not necessary to be rich to be happy.
8. It was suspected that our computer program had a virus.
9. I think it’s a good idea to go swimming.
10. It looks gloomy when all the trees are leafless.







การแปลคำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย


ถ้าเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษดูจะพบว่าคำศัพท์ส่วนใหญ่จะมีหลายความหมาย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าคำศัพท์แต่ละคำอาจมีความหมายได้หลายนัย โดยความหมายจะแตกต่างกันไปตามปริบท ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้เกิดปัญหาในการแปล ถ้าผู้แปลไม่พิจารณาดูปริบทให้ดีก็อาจเกิดการแปลผิดพลาดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น

1. The photos of our holiday in Hua Hin haven’t been developed yet.
มีผู้แปลว่า: รูปถ่ายตอนไปเที่ยวหัวหินของเรายังไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ควรแปลว่า: รูปถ่ายตอนไปเที่ยวหัวหินของเรายังไม่ได้เอาไปล้างเลย
จากตัวอย่างข้างบนจะเห็นว่าผู้แปลไม่เข้าใจนัยความหมายอื่น ๆ ของศัพท์
คำว่า “develop” แปลไปตามความเคยชินว่า พัฒนา เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ได้พิจารณา
ปริบทให้ดีว่าเกี่ยวกับเรื่องของการถ่ายรูป ดังนั้น “develop” จึงควรแปลว่า ล้างรูป
2. She lost her will to live after her close friend’s death.
มีผู้แปลว่า: เธอทำพินัยกรรมหายหลังจากเพื่อนสนิทตาย
ควรแปลว่า: เธอหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่หลังจากที่เพื่อนสนิทของเธอเสียชีวิต
ประโยคนี้ผู้แปลแปลผิดเพราะไปฝังใจว่า will ซึ่งเป็นคำนามแปลว่า พินัย-กรรม แต่ความจริงความหมายอื่นของ will คือ ความมุ่งมั่น หรือ ความตั้งใจ ดังเช่นในปริบทนี้
วิธีแปล
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า คำศัพท์แต่ละคำมีความหมายได้หลายนัย ดังนั้น ผู้แปลควรพิจารณาดูเนื้อความหรือปริบทของประโยคหรือข้อความที่จะแปลอย่างรอบคอบระมัดระวัง อย่าไปยึดติดอยู่กับความคุ้นเคยและแปลไปอย่างที่เคยแปลซึ่งจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้ เมื่อใดก็ตามที่เกิดความไม่แน่ใจในเรื่องความหมายก็ขอให้ผู้แปลตรวจสอบจากพจนานุกรมทุกครั้งไป เพราะคำที่มีปัญหาแปลออกมาแล้วความหมายดูแปลก ๆ อาจจะเป็นคำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัยได้

ตัวอย่างคำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย
1. blue (adj.)
1.1 เศร้า / เสียใจ
I always feel blue when the sun sets.
ฉันมักจะรู้สึกเศร้าเมื่อยามพระอาทิตย์ตก
1.2 เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ
Some say Thai jokes are a bit blue.
บางคนกล่าวว่าเรื่องตลกแบบไทย ๆ มักจะเกี่ยวกับเรื่องเพศ
1.3 ดนตรีประเภทหนึ่ง (noun - เป็นรูปพหูพจน์เสมอ)
I like the blues.
ฉันชอบเพลงบลู
1.4 อย่างไม่คาดฝัน (สำนวน out of the blue)
He arrived completely out of the blue.
เขามาโดย (ที่เรา) ไม่คาดฝันเลย

2. body (n.)
2.1 ส่วนลำตัว / ตัวถังของเรือบิน / รถยนต์
The Boeing 747 has a wide body.
เครื่องบินโบอิง 747 มีลำตัวกว้าง
2.2 ซากศพ
Several bodies from the wrecked ship were washed ashore.
ซากศพหลายศพจากเรือแตกถูกพัดมาเกยฝั่ง
2.3 เนื้อหาส่วนที่สำคัญ
A piece of news has a lead and a body.
ข่าวชิ้นหนึ่งประกอบด้วยบทนำข่าวกับเนื้อข่าว
1.4 ร่างกาย
We wear clothes to keep our bodies warm.
เขาสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น

3. confidence (n.)
3.1 ความเชื่อมั่นในความสามารถ
He lacks confidence in himself when he appears in public.
เขาขาดความเชื่อมั่นในตนเองเมื่อปรากฎตัวในที่สาธารณะ
3.2 ความศรัทธา ความไว้วางใจ ความไว้ใจในคนอื่นหรือสิ่งอื่น
They have no confidence in the computer system.
เขาไม่มีความไว้วางใจระบบคอมพิวเตอร์
3.3 ความลับ
The girl exchanged confidences about their boyfriends.
เด็กผู้หญิงแลกความลับเรื่องแฟน ๆ ของเธอ
3.4 บอกความลับ
He took her into his confidence and told her the whole truth.
เขาบอกความลับและความจริงทั้งหมดให้เธอทราบ

4. critical (adj.)
4.1 สำคัญมาก
This was a critical moment in his career.
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากในอาชีพของเขา
4.2 สาหัส / อันตราย
He was taken to hospital because his condition was critical.
เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะอาการสาหัส
4.3 แสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรง
He was highly critical of the government’s policy.
เขาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลอย่างรุนแรง

5. deliver (v.)
5.1 ส่ง
The postman delivers letters everyday.
บุรุษไปรษณีย์ส่งจดหมายทุกวัน
5.2 บรรยาย / ปราศรัย
He delivered an interesting lecture on Thai history at the seminar.
เขาบรรยายเรื่องประวัติศาสตร์ไทยในสัมมนา
5.3 ช่วยทำคลอด
The co-pilot and the steward delivered a baby girl in mid-flight.
ผู้ช่วยกัปตันและพนักงานต้อนรับชายช่วยทำคลอดทารกเพศหญิงในระหว่าง
เที่ยวบิน

6. a. fair (adj.)
6.1 ยุติธรรม
You must be fair to both sides.
คุณต้องยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่าย
6.2 ดีพอใช้
His knowledge of English language is fair.
ความรู้ภาษาอังกฤษของเขาพอใช้ได้
6.3 ผิวขาว/ผิวสีอ่อน
Unprotected fair skin gets sunburned quickly.
ผิวขาวที่ไม่ได้ปกป้องถูกแดดเผาง่าย
b. fair (n.)
6.4 การแสดงสินค้า
I bought many books at the Chula book fair.
ฉันซื้อหนังสือหลายเล่มจากงานหนังสือจุฬาฯ
6.5 งานออกร้าน
The Thai Red Cross fair is usually held in January.
งานกาชาดมักจะจัดในเดือนมกราคม

7. figure (n.)
7.1 ตัวเลข
Her income is in six figures.
รายได้ของเธอเป็นตัวเลขหกหลัก
7.2 จำนวน
According to the research, there are high unemployment figures.
จากผลการวิจัย มีจำนวนคนตกงานสูง
7.3 รูปร่าง
She is doing exercises to improve her figure.
เธอออกกำลังกายเพื่อทำให้รูปร่างดีขึ้น
7.4 บุคคลสำคัญในแขนงใดแขนงหนึ่ง
The late President Yitzak Rabin was one of the leading political figures of
this country.
อดีตประธานาธิบดี ยิทซัค ราบิน ผู้ล่วงลับเป็นบุคคลสำคัญทางการเมือง คนหนึ่งในประเทศนี้

8. host (n.)
8.1 เจ้าภาพ
Since his father was still abroad, he acted as host at the dinner party.
เพราะว่าพ่อของเขายังอยู่ต่างประเทศ เขาก็เลยต้องเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารเย็น
8.2 พิธีกรรายการวิทยุ, โทรทัศน์
Jack is a famous talk show host.
แจ็คเป็นพิธีกรรายการพูดที่มีชื่อเสียง
8.3 ประเทศเจ้าภาพ
Thailand was the host country for the World Bank meeting in 1991.
ประเทศไทยเป็นประเทศเจ้าภาพในการประชุมธนาคารโลกในปี ค.ศ. 1991

9. ill (adj.)
9.1 ป่วย
David was ill when he returned from upcountry.
เดวิดป่วยเมื่อเขากลับมาจากต่างจังหวัด
เมื่อใช้ในความหมายอื่นๆ นอกจากป่วย
9.2 There’s a lot of ill feeling (= jealousy, anger, etc.) about her being promoted.
มีการอิจฉาริษยาเกี่ยวกับเรื่องที่เธอได้เลื่อนตำแหน่ง
9.3 If a black cat crosses your path, it’s considered ill omen.
ถ้าแมวดำวิ่งตัดหน้าไปถือว่าเป็นลางร้าย (โชคร้าย)

10. man (n.)
10.1 คน (ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย)
Any man could do that.
ใคร ๆ ก็ทำได้
1.2 มนุษย์ / มนุษยชาติ
Man is mortal.
มนุษย์ไม่เป็นอมตะ (มนุษย์ทุกคนต้องตาย)
1.3 ผู้ชาย
She behaves like a man.
เธอประพฤติตัวราวกับผู้ชาย
1.4 สามี
They are man and wife.
เขาเป็นสามีภรรยากัน

11. operation (n.)
11.1 ปฏิบัติการ
U.S. soldiers performed important military operations in Bosnia.
ทหารสหรัฐฯ ปฏิบัติการทางทหารครั้งสำคัญที่บอสเนีย
11.2 การผ่าตัด
The surgeon is performing a minor operation on her hand.
ศัลยแพทย์กำลังผ่าตัดเล็กที่มือของเธอ
11.3 สำนวน in (into) operation หมายถึง กำลังดำเนินการ หรือ กำลังใช้
When does the new traffic law come into operation?
เมื่อไหร่กฎหมายจราจรจะออกใช้

12. to run (v.)
12.1 รับผิดชอบ / ดูแล / จัดการ
She runs the household.
เธอดูแลบ้าน
12.2 เลื้อย
The vine runs over the porch.
เถาองุ่นเลื้อยไปตามระเบียง
12.3 กำลังทำงาน
The engine is running.
เครื่องจักรกำลังทำงาน
12.4 ไหล
Tears were running his face.
น้ำตาไหลอาบหน้าเขา
12.5 สี (ตก) ของเหลว (ละลาย) เพราะความร้อนหรือน้ำ
If a dye is nonfast, the colour will run when the material is washed.
ถ้าสีย้อมไม่ติด เมื่อนำไปซักสีก็จะตก

13. sentence (n.)
13.1 ประโยค
The structure of this sentence is awkward.
โครงสร้างของประโยคนี้พิกล
13.2 การตัดสินลงโทษ
The sentence was three years in prison and a fine of 100,000 baht.
การตัดสินลงโทษ คือ จำคุก 3 ปี และปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท

14. subject (n.)
14.1 หัวข้อ
He tried to change the subject of the conversation from politics to sport.
เขาพยายามเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาจากเรื่องการเมืองเป็นกีฬา
14.2 วิชา
Chemistry is my favorite subject
เคมีเป็นวิชาที่ฉันชอบมาก
14.3 พลเมืองของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
He denied that he is a British subject.
เขาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นพลเมืองอังกฤษ

15. table (n.)
15.1 ตาราง
The figures in the table show the decrease in this year’s profits.
ตัวเลขในตารางแสดงให้เห็นผลกำไรที่ลดลง
15.2 สารบัญ
The table of contents shows the different parts into which the book is divided.
สารบัญจะแสดงถึงส่วนต่าง ๆ ตามที่หนังสือแบ่งไว้
15.3 สำนวน under the table (of money) เงินสินบน เงินใต้โต๊ะ
They offered me one million under the table if I would vote against the government’s plans.
เขาติดสินบนฉันเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท ถ้าฉันออกเสียงคัดค้านแผนการของรัฐบาล

timetable (n.) = ตารางเวลาเข้า/ออก ของรถ/รถไฟ/เครื่องบิน (British English)
= ตารางสอน (American English)


แบบฝึกหัด

I. จงแปลประโยคต่อไปนี้ให้ได้ใจความ

1. The death sentence has been abolished in many countries and replaced by a life sentence.

2. Many countries have joined in the famine relief operation in Africa.

3. She underwent a major heart operation.

4. His Majesty the King always cares for his subjects.

5. She wrote a book on the subject of cooking.

6. My sister is forty now, but she has kept her figure.

7. Please write the number both in words and in figures.

8. We exchanged confidences and I promised to keep each other’s secrets forever.

9. He had no confidence in anyone around him.

10. Will you deliver these goods for me at home?

11. President Clinton delivered an emotional speech at the funeral of the late
President Rabin.

12. The baby had to be delivered by caesarian operation.

13. She felt blue after giving birth to the baby.

14. His illness is rather critical.

15. She was fair and blue-eyed.


II. จงแปลประโยคต่อไปนี้ให้ได้ใจความ

1. Look for the information in the table of contents.

2. Drinks were being prepared by the host.

3. His host country had supplied him with a place to live for a week.

4. She said she did not want to go out with a man who had such ill manners.

5. Somsri has been ill for a couple of days.

6. There’s a lot of ill feeling between father and son.

7. The sewing machine won’t run properly.

8. The tears ran down her cheeks.

9. If you have a bad cold, your nose runs.

10. He hopes his son will run the business successfully.

11. All men must die.

12. Nelson’s body was brought back to England for burial.

13. The bodies of most animals are covered with hair or fur.

14. Man is said to be able to live without food for seven days.

15. Men are weak, but men are also strong. 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น